การเจรจาในแง่หน้าตาทางสังคมในองค์การไทย (The Study of Face-Negotiation in The Thai Corporation)
ที่มา
วิทยานิพนธ์ ของคุณเปรมฤทัย ปริสุทธกุล นักศึกษาปริญญาโท
คณะภาษาและการสื่อสาร สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
วัตถุประสงค์ , astaxanthin
เพื่อศึกษาถึงรูปแบบการบริหารความขัดแย้งในองค์กรไทยและความเข้าใจเรื่องหน้าตาของสังคม
สมมติฐาน
1.คนไทยมีวิธีการวางตัวระหว่างคนไทยด้วยกันในองค์กรแบบ
วิธีการหลีกเลี่ยงปัญหา และ ยอมเพื่อให้อีกฝ่ายชนะไป
2.คนไทยควรกังวลกับภาพลักษณ์คนอื่นมากกว่าตนเอง , อาหารเสริม
รูปแบบงานวิจัย , astaxanthin
เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ และคุณภาพ , astaxanthin ราคา
เครื่องมืองานวิจัย
ผู้เข้าร่วมการวิจัย
สำหรับข้อมูลการวิจัยจะรวบรวมมาจาก10
องค์กรในประเทศไทย ในแต่ละประเภทของธุรกิจ ทั้งขนาดเล็กและขนาดกลาง เช่น
กราฟฟิกดีไซน์ ธุรกิจเสื้อผ้า ร้านอาหาร
ร้านขายยา นายหน้า และธุรกิจคอมพิวเตอร์
รวมทั้งสิ้น 100 คน นอกจากนี้ ยังได้แบ่งเป็นตำแหน่งต่างๆได้ดังนี้ หัวหน้า
ผู้จัดการ ผู้ดูแล ผู้ช่วยผู้จัดการ ผู้จัดการทั่วไป ฯลฯ
จำนวนผู้ชาย27 % และผู้หญิง 73 % โดยแบ่งเป็นระดับการศึกษา
ดังนี้
-
4 % มีระดับการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี
-
63 % มีระดับการศึกษาปริญญาตรี
-
14 % มีระดับการศึกษาอนุปริญญาตรี
-
19 % มีระดับการศึกษา ต่ำกว่าปริญญาตรี
อายุเฉลี่ยของผู้เข้าร่วมทำการวิจัยอยู่ที่ 30 .51 ปี และ อายุเฉลี่ยการทำงานอยู่ที่ 4.65 ปี
*มีเพียง
7 % ของผู้เข้าร่วมทำการสำรวจทั้งหมด ที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศมากกว่าอยู่ที่ประเทศไทย
โดยเฉลี่ยอยู่ในต่างประเทศประมาณ 8.21 เดือน**
วิธีการทำการวิจัย
1. การวิจัยจะใช้แบบสอบถาม โดยประกอบไปด้วย 2 ส่วน
1.1 ในส่วนแรกจะเป็นการถามถึงข้อมูลทั่วไป เช่น เพศ อายุ การศึกษา บริษัท
ตำแหน่ง อายุงาน และจำนวนอายุงานในต่างประเทศ
1.2 ส่วนที่สองจะมีทั้งหมด 28 หัวข้อ
นักวิจัยจะจำลองสถานการณ์ขึ้นมาในแบบสอบถาม โดยใช้ค่าการประเมินแบบ ROCI-II
ซึ่งแบ่งได้ 5 ระดับดังนี้
1 ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
2 ไม่เห็นด้วย
3 เป็นกลาง
4
เห็นด้วย
5
เห็นด้วยอย่างยิ่ง
นอกจากนี้
ยังมีหัวข้อที่นำมาใช้เลือกในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ความขัดแย้ง การเจรจาไกล่เกลี่ยแบบบูรณาการ
(Integrating) ในหัวข้อที่ 1,4,5,12,22,23,28 วิธีการเจรจาไกล่เกลี่ยแบบหลีกเลี่ยง(Avoiding) ในหัวข้อที่ 3,6,11,16,26,27
วิธีการเจรจาไกล่เกลี่ยแบบใช้อำนาจ(Dominating) ในหัวข้อที่ 8,9,18,21,25
การเจรจาไกล่เกลี่ยแบบยินยอม(Obliging) ในหัวข้อที่ 2,10,13,17,19,24 และวิธีการเจรจาไกล่เกลี่ยแบบประนีประนอม
(Compromising) ในหัวข้อที่ 7,14,15,20 รวมทั้งสิ้น 28 ข้อ
โดยผู้ทำการทดสอบจะถูกถาม
แล้วจากนั้น จะทำให้รู้ว่ามีพฤติกรรมเช่นใด หลังจบที่ทำการทดสอบเรียบร้อยแล้ว
ผู้ทำการทดสอบแต่ละคนสามารถให้สัมภาษณ์หรือไม่ก็ได้
2. สำหรับระเบียบการให้สัมภาษณ์จะประกอบไปด้วย 5 คำถาม
และเป็นการทดสอบเหตุการณ์ที่ไม่ได้เตรียมตัวขึ้นมา เพื่อจะดูพฤติกรรมของผู้ให้สัมภาษณ์ โดยจะถูกถามถึงประสบการณ์ความขัดแย้งกับบุคคลอื่นๆ
และเหตุผลว่าทำไมตนเองถึงใช้วิธีนั้น ในการแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น
ในขณะเดียวกัน นักวิจัยก็จะสังเกตพฤติกรรมบนใบหน้าว่าเป็นอย่างไร
ผลการการวิจัย :
1.สมมติฐานที่ 1 ในส่วนของการวิจัยเชิงปริมาณ
สามารถสรุปได้ดังนี้
การสำรวจลักษณะของการจัดการความขัดแย้ง เกี่ยวกับ
ภาพลักษณ์หน้าตาของคนไทยนั้น ในองค์กรที่อยู่ในประเทศไทย ในเชิงปริมาณนั้นจะขัดแย้งกับสมมุติฐาน
1 ที่ว่า คนไทยจะใช้วิธีการเจรจาไกล่เกลี่ยแบบหลีกเลี่ยง(Avoiding) และการเจรจาไกล่เกลี่ยแบบยินยอม(Obliging) ในการจัดการปัญหามากกว่าอย่างอื่น
แต่กลับกลายว่า คนไทยมีแนวโน้มที่จะใช้วิธีการเจรจาไกล่เกลี่ยแบบประนีประนอม (Compromising)
และ การเจรจาไกล่เกลี่ยแบบบูรณาการ (Integrating) มากกว่าแบบอื่น
2 .สมมุติฐานที่ 2 ผลการศึกษาพบว่า การที่คนไทยแสดงออกให้เห็นความสำคัญของภาพลักษณ์ของทั้ง2ฝ่าย (Mutual-Face) มากกว่าภาพลักษณ์หน้าตาของตนเอง (Self-Face)
ซึ่งไม่ตรงกับสมมติฐานในข้อที่ 2
ที่ตั้งไว้ว่า คนไทยควรกังวลกับภาพลักษณ์คนอื่น (Other-Face) มากกว่าตนเอง (Self-Face)
3.สรุปผลจากการสัมภาษณ์ ผลออกมาค่อนข้างหลากหลายแบบ
จากแบบสอบถาม 100
คน เชิญ 5คน มาร่วมให้สัมภาษณ์ สามารถสรุปถึงวิธีการจัดการกับสถานการณ์ความขัดแย้ง
และการเจรจาในแง่หน้าตาทางสังคมดังนี้
ตัวอย่างผู้ถูกสัมภาษณ์คนที่ 1 : เพราะว่าเธอ ได้พูดว่า “ฉันรู้สึกเกรงใจที่จะบอกให้เพื่อนร่วมงานทำงานชิ้นใหม่
แต่ฉันก็พยายามแทรกงานใหม่เข้าไปในงานเก่า ซึ่งทำให้เราพบกัน ครึ่งทาง “
จากคำพูดนี้สรุปว่า เธอ ใช้วิธีการเจรจาไกล่เกลี่ยแบบประนีประนอม
(Compromising) และ การเจรจาไกล่เกลี่ยแบบบูรณาการ
(Integrating) WIN WIN แสดงให้เห็นว่า หล่อน
กังวลกับภาพลักษณ์คนอื่น และ ภาพลักษณ์รวม มากกว่า ภาพลักษณ์ของตนเอง และ
เธอยังบอกอีกว่า เธอจะไม่ทำให้ผู้อื่นขายหน้าในที่สาธารณะ
ตัวอย่างผู้ถูกสัมภาษณ์คนที่ 2 : เมื่อเจอสถานการณ์ตึงเครียดทำตัวเองให้ใจเย็น
และยอมรับความคิดเห็นคนอื่นก่อน
แล้วพอผู้อื่นอารมณ์เย็นแล้วค่อยอธิบายเหตุผลของตนใหม่
จึงสามารถสรุปได้ว่าคนที่ 2 นั้นได้สนับสุนน สมมุติฐานที่ 2 เช่นกัน
กังวลกับภาพลักษณ์คนอื่น มากกว่า ภาพลักษณ์ของตนเอง และคนคนที่ 2 เธอเลือกที่จะใช้วิธีการไกล่เกลี่ยแบบยินยอม
(Obliging) คือ
ยอมให้อีกฝ่ายก่อน ในการจัดการปัญหา มุ่งเน้น รักษาความสัมพันธ์
ตัวอย่างผู้ถูกสัมภาษณ์คนที่ 3 : เมื่อคุยกับหัวหน้า ควรรักษาหน้าเค้า หลีกเลี่ยงการปะทะ และ ยอม
ถ้าปัญหานั้นไม่สำคัญนัก
จึงสมารถสรุปได้ว่าคนที 3 ใช้วิธีการการเจรจาไกล่เกลี่ยแบบบูรณาการ
(Integrating) , วิธีการเจรจาไกล่เกลี่ยแบบหลีกเลี่ยง(Avoiding) และการเจรจาไกล่เกลี่ยแบบยินยอม (Obliging) เมื่ออีกฝ่ายอยู่ในฐานะที่สูงกว่า
ตัวอย่างผู้ถูกสัมภาษณ์คนที่ 4 : ลูกน้องไม่เห็นด้วยกับไอเดียหัวหน้า เพราะคิดว่ามันไม่มีทางทำได้
แต่ท้ายสุดก็ต้อง ประนีประนอม
เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะโต้แย้งกับหัวหน้าซึ่งยังไงเค้าก็ชนะอยู่ดี
จึงสามารถสรุปได้ว่าคนที่ 4 ใช้วิธีการเจรจาไกล่เกลี่ยแบบประนีประนอม
(Compromising)
ตัวอย่างผู้ถูกสัมภาษณ์คนที่ 5:
ฉันได้โต้เถียงกับหัวหน้า และได้อธิบายจุดยืนของฉัน
ว่าหล่อนควรจะตรวจรายงานก่อนส่งลูกค้าทุกครั้ง ฉันไม่กลัวที่จะ มีปัญหาขัดแย้ง
เพราะมันไม่ใช่ความผิดของฉัน แต่หล่อนคนนั้นไม่ฟังแถมยังตำหนิฉันอีก
จึงสามารถสรุปได้ว่าคนที่ 5 นั้น ขัดแย้งกับ
สมมุติฐานที่ 2 เพราะ ว่า เธอใช้วิธีการเจรจาไกล่เกลี่ยแบบใช้อำนาจ(Dominating) หรือเผด็จการ ในการแก้ปัญหา
การประยุกต์ใช้ทฤษฎี
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ได้นำทฤษฏี
สื่อว่าด้วยการเจรจาต่อรองแบบรักษาหน้า (Face Negotiation Theory)
มาประยุกต์ใช้โดยการ นำองค์ประกอบของทฤษฎีสื่อว่าด้วยการเจรจาต่อรองแบบรักษาหน้า (Face
Negotiation Theory) มาใช้ในการหาความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบของวัฒนธรรม
( Type of Culture) ,รูปแบบของพฤติกรรมการสื่อสารทางใบหน้าในแต่ละวัฒนธรรม
รวมถึงวิธีการที่ใช้ในการเจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อลดความขัดแย้งและการรักษาภาพลักษณ์ทางสังคมในแต่ละวัฒนธรรม